เวลานึกถึงโรงเรียน จะนึกถึงภาพบรรยากาศโรงเรียนในตอนเช้า ผมมักจะชอบออกจากหอพักตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เพื่อมาเดินเล่นที่บ่อน้ำข้างเรือนศิลป์ (ซึ่งปัจจุบันน่าจะเปลี่ยนเป็นศาลาด้วงกว่างไปแล้ว) บางวันก็จะชวนรุ่นน้องที่สนิทมาเดินด้วยกัน บางวันก็จะเจอคุณครูท่านที่พักอยู่ในโรงเรียน เช่นครูเปา ครูน้ำ ชอบความรู้สึกที่ทุกอย่างดูนิ่ง เงียบไปหมดในตอนเช้า และการที่ได้ใช้เวลาไปกับคนที่เรารักและไว้ใจ เป็นความสุขที่สุขมากๆ และหาได้ง่ายมาก ๆ เช่นกัน ขอแค่วันนั้นไม่ตื่นสาย
แต่ถ้าถามถึงเรื่องที่ใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ที่ได้ทำร่วมกับชาวปัญญาประทีปทุกคน สิ่งแรกที่ผมคิดถึงคือ “วงกลมกัลยาณมิตร” เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์กับผมอย่างมาก ถึงแม้ว่าตอนที่เรียนจบจากปัญญาประทีปไปแล้ว อาจจะนำไปใช้ตรงๆ ได้ยาก แต่การอยู่ในสังคมปัญญาประทีปที่มีการรวมตัวเพื่อพูดคุยเปิดใจเป็นประจำ มีการขอบคุณ ขอโทษ แนะนำ ตักเตือนกันเป็นเรื่องปกติ ก็ทำให้ผมมีนิสัยที่จะพูด สิ่งเหล่านี้กับคนรอบตัวได้อย่างสบายใจ และรู้ว่าควรเลือกใช้คำพูดอย่างไร ทำให้ผมสบายใจกับคนรอบตัวว่าเราไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง หรือต้องนินทากัน เพราะถ้าผมไม่ชอบการกระทำอะไรของเขา ผมก็จะหาโอกาสพูดด้วยความหวังดี อย่างเป็นกัลยาณมิตร เพื่อให้เขาเข้าใจและแก้ไข ในขณะเดียวกันเขาก็จะสามารถพูดอย่างนั้นกับผมได้เมื่อผมเผลอทำอะไรที่ไม่เหมาะสม
ตอนที่อยู่ที่โรงเรียน “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เป็นคำที่มักจะได้ยินจากคุณครูกับเพื่อนๆ ตลอด เวลาที่เกิดปัญหาอะไรขึ้น หรือมีใครกำลังรู้สึกไม่สบายใจจากเหตุการณ์บางอย่าง ดูเผินๆ เหมือนเป็นคำปลอบใจที่ใครๆ ก็ใช้กันทั่วไป แต่ในบริบทของชาวปัญญาประทีป คำนี้หมายถึงหลัก “อนิจจัง” เวอร์ชันเข้าใจง่าย เวลามีที่มีคนพูดคำนี้ขึ้นมาก็จะเข้าใจว่าเป็นการเตือนไม่ให้เผลอไปยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งต่างๆ ทั้งความรู้สึกไม่ดีของเรา และเหตุการณ์ไม่ดีที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นก็จะต้องผ่านไป กลายเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในความทรงจำของเราในที่สุด
ช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย สายดนตรีที่ผมเรียนเป็นสายที่มีการแข่งขันสูงมาก โอกาสที่จะได้อาชีพที่ดี ได้ร่วมงานกับนักดนตรีที่เก่ง ขึ้นอยู่กับผลงานของเราเสมอ ทุกคนจึงมีความกดดันที่จะต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ในช่วงปี 2 ผมเคยเข้าร่วม การแข่งขันประพันธ์เพลงรายการหนึ่ง ตอนนั้นตั้งความหวังไว้สูง และมั่นใจในตัวเองมาก แต่สุดท้ายกลับตกรอบแรก ช่วงนั้นรู้สึกเคว้งมากๆ จนไม่มีสมาธิเขียนงานใหม่ๆ หรือซ้อมไปเป็นสัปดาห์ ซึ่งสำหรับนักดนตรีการไม่ได้จับเครื่องดนตรีติดต่อกันเกิน 3-4 วันก็เป็นสิ่งที่ไม่ปกติมากแล้ว แต่สุดท้ายพอรู้ตัว ก็เริ่มกลับมาตั้งสติได้ว่าเดี๋ยวความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะต้องค่อยๆ หายไป และความไม่สำเร็จที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ความความว่าเราจะไม่สามารถทำสำเร็จในอนาคตได้ ทำให้ผมยังไม่ถอดใจ เข้าร่วมรายการแข่งขันนั้นในปีถัดมา และชนะรางวัลที่ 1 ในที่สุด แต่คำว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ก็ยังวนมาเตือนผมอีกครั้ง ไม่ให้ลืมว่าความสำเร็จในครั้งนี้ก็เป็นสิ่งชั่วคราวอยู่ดี ยังต้องระวังไม่ประมาทจนหยุดพัฒนาตัวเองต่อไป
ทุกวันนี้ก็ยังมีเพื่อนๆ และรุ่นน้องที่เรียนดนตรีแวะมาบ่น มาปรึกษา มาระบาย ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ด้วยธรรมชาติของสังคมที่ต้องแข่งขันอย่างนี้ ผมก็รู้สึกดีใจที่ยังสามารถช่วยได้ด้วยการรับฟัง แล้วคอยเตือนให้เขาด้วยประโยคเดียวกันกับที่คนรอบข้างในปัญญาประทีปบอกผมให้ไม่ลืมว่าสักวันความรู้สึกนี้ก็จะจางลง กลายเป็นแค่สิ่งที่เคยผ่านมา แล้วก็ผ่านไปในที่สุด
