ถ้าให้นึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากปัญญาประทีป เรื่องแรกที่นึกถึงคือการเอาวงกลมกัลยาณมิตรมาใช้ค่ะ อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบของการนั่งรวมกันเป็นวงกลมแล้วพูดขอบคุณ ขอโทษ ชื่นชม ตักเตือนกันแบบที่ทำที่โรงเรียน แต่จะเป็นในรูปแบบของการไม่ถือตัว การยอมรับตัวเองมากพอที่จะยกเรื่องพวกนี้มาคุยเปิดใจกับเพื่อนมากกว่า พอจบจากปัญญาประทีปเจอคนเยอะมาก แต่ละคนก็มาจากพื้นฐานที่แตกต่างกันไป ตัวหนูเองก็ได้เจอกับกลุ่มเพื่อนหลายแบบมากๆ ที่ทำให้ได้ยกวงกลมกัลยาณมิตร 2.0 มาใช้ค่ะ แล้วก็ทำให้คนอื่นได้เริ่มหัดมาเปิดใจพูดแบบกัลยาณมิตรกับคนอื่นอีกต่อๆไปค่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นสังคมไหน หนูเชื่อว่า communication is key ค่ะ
ตั้งแต่จบจากปัญญาประทีปมา หนูก็ได้เริ่มก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มากขึ้น และสิ่งที่มาด้วยกัน ก็คือความจริงที่ว่า ชีวิตมันไม่ได้สวยหรูสบายๆ เหมือนกับตอนเราเด็กๆ การเป็นผู้ใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้น มาพร้อมกับหน้าที่และความคาดหวังที่คนรอบข้างสร้างให้เรา และเราสร้างให้ตัวเอง พอโตมา หนูเจอเหตุการณ์อะไรมากมายที่ทำให้รู้เลยว่า adulthood isn’t a bed of roses แต่มีสองประโยคที่ทำให้หนูก้าวข้ามทุกความมืดมน ความท้อแท้ในชีวิตมาได้ คือ สุขทุกข์อยู่ที่ใจเรา และ this too shall pass ถ้าใจเราเข้มแข็งพอ ถ้าเราบอกตัวเองว่าเราจะผ่านมันไปได้ เรามีสติ ทำดีที่สุด มองกระจกแล้วยิ้มให้ตัวเอง ทุกสิ่งที่โถมเข้ามาในชีวิต ก็จะเป็นบทเรียนให้หนูเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น ต่อจากนี้เจออะไรก็คงจะผ่านมันไปได้ค่ะ
ส่วนความทรงจำเกี่ยวกับโรงเรียน มีแต่ความทรงจำเปิ่นซ่า เล่าไปก็เดี๋ยวจะเสียชื่อเด็กวิถีพุทธ แต่ทุกความทรงจำที่มีเป็นความทรงจำที่ไม่มีวันลืม ไม่ว่าจะดีหรือแย่ ก็มีกัลยาณมิตรที่ดีอยู่ด้วยในทุกความทรงจำค่ะ และทุกความทรงจำก็หล่อหลอมให้หนูเติบโตมาเป็นพิณในทุกวันนี้ค่ะ