บ้านหลังที่สองที่สอนให้ล้มแล้วลุก เรียนรู้และเติบโต แบบนักศึกษาตลอดชีวิต

Share

      นี้ดคิดว่าการที่เราจะรู้สึกกับสถานที่ไหนว่าเป็นบ้านของเราไม่ง่ายเลย แต่สำหรับนี้ด โรงเรียนปัญญาประทีปคือบ้านหลังที่ 2 จริงๆ ค่ะ เป็นที่ๆ เราอยู่กับคุณครู เพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ เจ้าหน้าที่แทบจะ 24 ชั่วโมง ซึ่งทุกคนเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ หวังดีกับเรา ทำให้รู้สึกผูกพันและรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านจริงๆ การมีคนเตือนกันเมื่อทำผิดพลาด กล้ายอมรับความผิด ช่วยกันแก้ปัญหา เป็นสิ่งที่อาจจะหาไม่ได้ง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่ปกติมากของที่นี่และรู้สึกประทับใจมาก แม้จะเรียนจบไปแล้วความเป็นครู เพื่อน พี่น้อง ก็ยังแน่นแฟ้นเหมือนตอนที่อยู่โรงเรียนค่ะ ส่วนความทรงจำที่เป็นวีรกรรมแสบๆ ก็มีนะคะ สนุกสนาน แต่ขอไม่เล่า ณ ที่นี้นะคะ 


      บ้านหลังที่สองหลังนี้มีกิจกรรมให้ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานเยอะมาก กิจกรรมโปรดของนี้ดคือทริปนอกกะลาที่ทุกๆ เทอมจะได้ไปทัศนศึกษายาวๆ 5 วันกับเพื่อนๆ ในห้อง บางปีก็ได้ไปร่วมกับน้องๆ เพราะรุ่นนี้ดนักเรียนไม่เยอะก็เลยไปทริปร่วมกับน้องๆ ชั้นอื่นได้ อารมณ์ตอนที่เรียนอยู่รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวมากกว่าทัศนศึกษา แต่เป็นการไปเที่ยวที่มีสาระ คุณครูจะพาไปที่ที่ได้เรียนรู้อย่างสนุก ได้เรียนรู้จากคนในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน คนที่แก้ปัญหาในชุมชนตัวเอง คนที่ทำอะไรเจ๋งๆ และได้กินอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ นี้ดคิดว่าทริปนอกกะลาเป็นสิ่งที่เปิดโลกให้กว้างขึ้นว่าในประเทศไทยมีความหลากหลายมาก มีทั้งมุมที่ดี เข้มแข็ง มุมที่ยังมีปัญหา หรือมุมที่ไม่ได้สวยงาม การไปทริปทำให้ได้เปิดใจ ไม่ได้เห็นแค่ในโลกของตัวเอง ได้เห็นและเข้าใจโลกของคนอื่นมากขึ้น และเป็นแรงบันดาลใจให้อยากลุกขึ้นมาแก้ปัญหาหลายๆ อย่างและต่อยอดมาสู่การทำงานที่เลือกงานที่ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมด้วย ส่วนเรื่องเที่ยวก็ได้อิทธิพลจากทริปนอกกะลา ที่ทุกวันนี้เวลาจัดโปรแกรมเที่ยวของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะแทรกสิ่งที่มีสาระอยู่ในโปรแกรมเที่ยวด้วยเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ในตอนนี้นี้ดเรียนจบมหาวิทยาลัยและทำงานมาประมาณ 2 ปีแล้ว นี้ดคิดว่า “การเป็นนักศึกษาตลอดชีวิต” เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ได้จากโรงเรียน ซึ่งมาเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นเมื่อจบออกมาจากโรงเรียนปัญญาประทีปแล้ว แม้ว่าตอนที่เรียนอยู่จะได้ยินคำว่านักศึกษาตลอดชีวิตบ่อยๆ ได้เห็นผู้ปกครองที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมาเรียนรู้ใน  “ห้องเรียนครูคนแรกของลูก” เห็นคุณครูที่สอนเราไปทัศนศึกษา ก็ยังไม่ทำให้เข้าใจเท่าการมีประสบการณ์ตรงจริงๆ เพราะเมื่อได้เรียนมหาวิทยาลัย ได้ทำงาน นี้ดพบว่าโลกตอนนี้เปลี่ยนไปเร็วมากจริงๆ มีเทคโนโลยี โปรแกรม ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา โชคดีที่โรงเรียนปัญญาประทีปได้ปลูกฝังทักษะในการเรียนรู้ตลอดชีวิตไว้ให้ ก็เลยพบว่าตัวเองไม่กลัวการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และสนุกที่ได้เรียนรู้ ได้ทดลองทำ บางอย่างยากก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหนื่อยก็ไปพักก่อนแล้วค่อยกลับมาลองทำใหม่จนทำได้ดีขึ้นๆ ซึ่งหลายๆ ครั้งในการทำงานก็ได้ให้กำลังใจเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันเวลาเจองานยากๆ หรืองานที่ไม่เคยทำมาก่อนว่า ไม่เป็นไร ลองทำดูก่อน เราลองมาพยายามทำไปด้วยกัน จนสุดท้ายก็ช่วยกันทำให้สำเร็จได้จริงๆ


      และการเป็นนักศึกษาตลอดชีวิตก็ไม่ได้เป็นแค่การหาความรู้ ทักษะใหม่ๆ เท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาชีวิต พัฒนาจิตใจของตัวเองด้วย ยิ่งโตขึ้นยิ่งได้เจอกับความผิดหวัง ความเหนื่อย ความไม่พอใจ ความขัดแย้ง เจอสิ่งยากๆ ที่ไม่เคยเจอตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ซึ่งหลายๆ ครั้งก็ไหลไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น หลายครั้งก็ทำพลาด นี้ดก็มีหลายเหตุการณ์มากไม่ต่างกันค่ะ แต่ถ้าเลือกที่เป็นไฮไลต์เลยคงเป็นช่วงที่ทำงานใหม่ๆ ด้วยความที่นี้ดเคยเจอคนที่คิดคล้ายๆ กันมาเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อนที่คณะก็มีความคล้ายกันเยอะ คุยแล้วเข้าใจกันง่าย แต่พอทำงานได้เจอกับคนที่หลากหลาย มีนิสัย ความคิด มุมมอง ความเข้าใจต่างกันมาก ทำให้สื่อสารเข้าใจกันยากและทำงานได้ไม่ค่อยราบรื่น ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด ไม่มีความสุข เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วย ในตอนนั้นอยากหาวิธีทำให้ทำงานร่วมกันได้ราบรื่นขึ้นก็เลยพยายามลองหลายๆ วิธี พูดคุยกับทีมงาน เสนอแนะ ปรับวิธีการทำงานของตัวเอง แต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้สักทีจนรู้สึกท้อ สิ่งที่ช่วยได้คือคำสอนของพระอาจารย์ชยสาโรที่ท่านเคยบอกว่า ปัญหาในชีวิตมีหลายอย่าง ปัญหาบางอย่างแก้ได้ทันที ปัญหาบางอย่างเราแก้ไม่ได้ และบางอย่างก็ยังไม่ถึงเวลา จึงคิดได้ว่าเราก็ลองพยายามแก้ปัญหาแล้วแต่ยังแก้ไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลา หรืออาจจะเป็นปัญหาที่เราแก้ไม่ได้จริงๆ ตอนนี้คงต้องปล่อยไปก่อน และเมื่อมีสติ คิดวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้วก็ทำให้ไม่จมอยู่กับปัญหา แต่เข้าใจ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าหากมีเวลาและโอกาสที่เหมาะสมในอนาคตก็อาจจะแก้ปัญหานี้ได้ หลังจากนั้นก็รู้สึกโล่งขึ้นและกลับมาโฟกัสกับการทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลดความคาดหวังต่อคนอื่นลง ทำให้มีความสุขและรู้สึกโอเคกับการทำงานมากขึ้น หรือเรื่องความผิดหวัง ที่ถ้าไม่เจอกับความผิดหวังมาก่อน ก็คงไม่รู้ว่าความรู้สึกเวลาผิดหวังมากๆ เป็นอย่างไร แล้วเราจะจัดการกับความรู้สึกนี้ จะก้าวต่อไปอย่างไร พอผ่านจุดนั้นไปแล้วได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ได้เห็นและยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง ได้รู้วิธีจัดการความรู้สึก และเข้าใจคนอื่นที่เจอความผิดหวังมากขึ้น การได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ทำให้จัดการอารมณ์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้นด้วย ซึ่งนี้ดคิดว่าถ้าไม่ได้มีความเป็นนักศึกษาตลอดชีวิตแล้ว ก็คงพลาดโอกาสที่จะเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นบทเรียนและพัฒนาตัวเองค่ะ

ลฎาภา อินทรมหา (นี้ด)
รุ่นหิ่งห้อย 1 ปี 2558