Home is Where the Heart is, PPS is My Home

Share

      ความเป็นกัลยาณมิตร ไม่ว่าจะเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง คุณครู ผู้ปกครอง พี่ๆ แม่ครัว หรือ พี่ๆ ที่ดูแลโรงเรียนทุกคนในรั้วปัญญาประทีป เป็นความทรงจำที่มิ้นรู้สึกว่าไม่มีวันลืม และหาได้ยากจากที่อื่นค่ะ ความอบอุ่น ความหวังดี ความจริงใจต่อกันเหมือนครอบครัวเดียวกัน ทำให้ทุกครั้งเวลาเรามีความสุขหรือทุกข์ใจ เรายังมีทุกคนในรั้วปัญญาประทีปเป็นที่ปรึกษา แบ่งปันและพักพิง หรือทุกครั้งที่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียน มิ้นรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านอีกครั้งเสมอเลยค่ะ
      ถ้าพูดถึงกิจกรรมที่รู้สึกได้รับประโยชน์และชอบมากจากปัญญาประทีป อยากบอกว่าเยอะมากจริงๆ ไม่ได้อวยโรงเรียนนะคะ แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ส่วนตัวมิ้นชอบวิชาตื่นรู้ ตอนเรียนอาจจะไม่ได้รู้สีกว่าตัวเองตั้งใจเรียนขนาดนั้น แต่ทุกวันนี้ยังอยากศึกษาวิชานี้ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก เพราะพอออกมาอยู่ในโลกภายนอก มิ้นรู้สึกว่าวิชานี้สำคัญมากๆ ยิ่งพอได้เผชิญกับโรคเกี่ยวกับสุขภาพจิตด้วยตัวเองจริงๆ ยิ่งรู้สึกว่าวิชาตื่นรู้ เป็นวิชาที่เด็กรุ่นใหม่ควรได้รับการปลูกฝังมากในทุกโรงเรียน รู้สึกว่าถึงอย่างไรการฝึกจิตให้รู้สึกตัวตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในการใช้ชีวิตในทุกๆ วันค่ะ นอกจากนี้ทั้งกิจกรรมทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ ฟังพระอาจารย์แสดงธรรม วงกลมกัลยาณมิตร ทุกกิจกรรมเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้หมด ทั้งกับคนรอบข้างและสังคมภายนอกได้โดยที่มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง ไม่ต้องฝืนมากเพราะมันฝังอยู่ลึกๆ ในจิตใจค่ะ เราจะรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้เองโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาบอก เวลาเรามีปัญหาหรือไม่สบายใจเราก็จะหันกลับมายึดหลักพุทธปัญญา เพราะรู้สึกว่าธรรมะก็เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดค่ะ ทุกวันนี้มีความสุขขึ้นได้เพราะปล่อยวาง และเจริญสติ อยู่กับปัจจุบัน กิจกรรมหลายๆ อย่างที่โรงเรียนสอนมา มิ้นว่ามันซึมซับให้นักเรียนทุกคนอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย    คำสอนมันมีแฝงอยู่ในทุกกิจกรรมเลยจริงๆ ค่ะ ถ้าเราเข้าใจในกิจกรรมเหล่านั้นได้ดี เราจะสามารถดึงประโยชน์จากกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนให้ทำมาใช้ได้เองแน่นอน 
      เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้จากปัญญาประทีปได้เอามาใช้เกือบทุกอย่างเลยก็ว่าได้ค่ะ โดยเฉพาะการใช้ชีวิต ตอนอยู่ปัญญาประทีปมิ้นได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นให้สงบสุข อยู่อย่างไรให้ไม่ทะเลาะ ไม่มีปัญหากับคนอื่น รู้จักให้อภัย เป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้กับเพื่อนร่วมโลกคนอื่น เช่น รับฟังเวลาเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่มีเรื่องทุกข์ใจ เข้าใจมุมของคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่มุมของเรา ซึ่งมิ้นคิดว่าสิ่งนี้ทำให้คนอื่นสบายใจมากขึ้นได้ มิ้นรู้วิธีรับมือกับอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น เวลาผิดใจกับใครก็เลือกที่จะใช้เหตุผลคุยกันดีๆ ไม่ใช้อารมณ์แก้ปัญหา ใช้สติรู้ทันอารมณ์ ความคิดของตัวเองบ่อยๆ หรือเวลาเรียนแล้วเครียดก็พยายามใช้การฝึกจิตให้ปล่อยวางมาช่วยบ้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากการฝึกมาจากรั้วปัญญาประทีปทั้งหมด มิ้นว่ามิ้นโชคดีและดีใจมากที่ชีวิตหนึ่งเกิดมาทุกวันนี้ ได้เรียนรู้ ฝึกปฏิบัติจิตใจจากที่นี่มาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะมันสามารถเอามาปรับใช้ได้จริงกับทุกเรื่องในชีวิตได้เลย ทำให้ชีวิตมีความสุข สามารถดูแลและพัฒนาจิตใจตัวเองได้ดียิ่งขึ้นในทุกๆ วัน เพราะส่วนตัวมิ้นมองว่าการใช้ชีวิตให้จิตใจเป็นสุขเป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุดค่ะ


     
      ก่อนหน้านี้ไม่นาน คือช่วงเวลาที่มิ้นรู้สึกแย่กับตัวเองที่สุด ล้มครั้งนี้เจ็บที่สุด ลุกยากที่สุดเพราะมิ้นรู้ว่าสิ่งที่มิ้นทำมันแย่ต่อทั้งตัวเองกับคนรอบข้างมากๆ แต่มิ้นแค่ไม่สามารถควบคุมกายหรือวาจา ตัวเองได้ ปัจจุบันยังไม่หายแต่ก็ดีขึ้นมากๆ แล้วค่ะ ตอนนี้มิ้นกำลังเผชิญกับโรคเกี่ยวกับสารเคมีในสมองไม่สมดุล ชื่อโรคว่า “Binge Eating Disorder” เป็นโรคทางจิตเวชเกี่ยวการการกินอาหารในปริมาณที่เยอะมากเกินไป แล้วมารู้สึกผิดทันทีหลังจากที่กิน และด้วยความรู้สึกผิดก็จะออกกำลังกายหักโหมในภายหลัง จนร่างกายเกิดสภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัว รู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกจิตใจถูกบั่นทอนจากความเครียดต่างๆ ความเครียดเลยทำให้อารมณ์ไม่คงที่ แล้วไม่สามารถความคุมอารมณ์ตัวเองได้ ทำให้บางครั้งก็มีโมโห หรือพูดจาไม่ดีกับคนรอบข้างไปบ้าง ซึ่งจริงๆ มิ้นรู้ว่ามันไม่ดีเลย แต่มันไม่สามารถควบคุมได้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตมิ้นเลยก็ได้ เพราะมันเป็นสาเหตุที่เกือบพามิ้นไปเจอกับโรคซึมเศร้า ทุกครั้งที่พูดจา หรือทำอะไรไม่ดีกับใคร จะเก็บมาคิดเยอะมาก เพราะเรารู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา แต่ทำไมเราทำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกโทษและรังเกียจตัวเองตลอดเวลา มิ้นตัดสินใจไปหาหมอ และพยายามปรับ mindset ใหม่ทั้งหมด เดินทางสายกลางให้มากขึ้น กินเพื่ออยู่ อิ่มก็พอ ออกกำลังให้พอดี ไม่หักโหมเกินไปจะได้เครียดน้อยลง พยายามมีสติมากขึ้น ตื่นรู้ในการใช้ชีวิต รู้ทันอารมณ์ตัวเอง อาจมีเผลอบ้างก็พยายามระลึกรู้ความเผลอนั้น สวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน เพื่อให้จิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน พยายามไม่เครียดกับชีวิตเพราะก่อนหน้านี้คือสุดโต่งเกินไปเลยทำให้ตัวเองเครียด อะไรขัดใจก็จะรู้สึกหงุดหงิดแล้ว ทุกวันนี้ถ้าให้ถามตัวเองว่าลุกยืนขึ้นได้หรือยัง สารภาพว่าลุกได้แต่พอเดินไปซักพักก็จะมีสะดุดล้มบ้างระหว่างทาง แต่ก็พยายามลุกขึ้นใหม่อยู่ค่ะ ตอนนี้มิ้นยังไม่ถือว่าตัวเองลุกได้ 100% แต่มิ้นก็รู้สึกว่าเดินได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ลุกใหม่
ตอนนี้ล้มน้อยลงเยอะมากเพราะขาก็แข็งแรงมากขึ้น หวังว่าสักวันต้องหายจากโรคนี้ รอคอยวันที่เดินได้แบบไม่สะดุดด้วยการเอาหลักพระพุทธศาสนามาปรับใช้เพื่อเยียวยาจิตใจอยู่ค่ะ ต้องขอบคุณโรงเรียนที่ปลูกฝังหลักพุทธปัญญาให้มิ้นมาก่อน ทำให้ทุกครั้งที่มีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ มิ้นจะนึกถึงหลักพุทธศาสนาก่อนเสมอ ไม่อย่างนั้นมิ้นคงไม่สามารถเยียวยาและพัฒนาจิตใจตัวเองได้อย่างแน่นอนค่ะ

 

ณัชชา โรจนวรเกียรติ (มิ้น)
รุ่น จักจั่น 1 ปี 2556