ความทรงจำในรั้วของปัญญาประทีปมีเยอะมาก แต่ถ้าให้เลือกเพียงแค่หนึ่งเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องการทำงานในช่วง ม.5 ค่ะ
ชั้น ม.5 มีวิชาบูรณาการชื่อวิชาสื่อสารเป็น ซึ่งถือว่าเป็นวิชาที่ตั้งตารอมาตั้งแต่ ม.1 เลยก็ว่าได้ อยากเรียนวิชานี้มาก พอได้มาเรียนจริงๆ ก็เป็นวิชาที่ชอบและสนุกอย่างที่คาดฝัน แต่เรื่องไม่คาดฝันมักจะเกิดขึ้นตอนปลายเทอม
ในตอนนั้น การสรุปองค์ความรู้และนำเสนอในงานชมสวนเพียรใกล้จะวนมาถึงแล้ว เรียนการสื่อสารมาทั้งทีจะพลาดได้อย่างไรกับการทำละครออกมาสักเรื่อง ตอนแรกก็คิดว่าคงง่ายๆ สบายๆ เพราะตอน ม.ต้นก็ทำละครมาหลายเรื่อง พอได้เริ่มลงมือทำจริงๆ ก็ได้ค้นพบแล้วละค่ะว่า ที่ผ่านมาตอน ม.ต้น ละครของเรายังไม่มีลูกเล่นมากนัก และยังมีคุณครูเป็นส่วนช่วยหลักในการขับเคลื่อนละคร แต่คราวนี้กลับกัน ละครเรื่องที่จะทำต้องใส่ลูกเล่นให้มากขึ้นให้มีมิติมากขึ้น บทละครต้องจริงจังและ สอดแทรกข้อคิดและเนื้อหาไว้มากขึ้น นอกจากนั้นพวกเราเด็กนักเรียนยังต้องขับเคลื่อนเองโดยคุณครูจะเป็นแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น โอ้โห เป็นงานช้างเลยละ ตอนนั้นแทบอยากจะร้องไห้ทุกครั้งที่มานั่งเขียนบทหรือเข้าประชุม แต่ด้วยความที่เราอยากจะทำละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุดและก็รู้ถึงความคาดหวังและตั้งตารอของน้องๆ คุณครูและผู้ปกครองที่จะดูละครเรื่องนี้ของห้องเรา ก็ทำออกมาจนสำเร็จจนได้ เป็นความทรงจำที่มีทั้งเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา ความภูมิใจแฝงอยู่เยอะมากเลยค่ะ
สำหรับหนูคิดว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้จากปัญญาประทีปคือกระบวนการคิดและวิเคราะห์ หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องยอมรับว่าหลายๆ สิ่งเปลี่ยนไปเยอะมาก ทั้งวิธีการเรียน สังคม และสิ่งแวดล้อม การที่เรามีหลักการในการคิดหรือตัดสินใจทำให้เรามั่นคงไม่เอนเอียงต่อสิ่งต่างๆ มากเกินไป และเหมือนเป็นหลักให้เราเวลาที่เจอปัญหาหรือสถานการณ์ที่หนักใจต่างๆ
ย้อนไปตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ปัญญาประทีป ตัวหนูเองไม่ใช่คนเรียนเก่งเลยแต่เลือกที่จะเรียนสายวิทย์-คณิต ตอนแรกเกรดช่วงมัธยมยังไม่ถึง 3 และยังสบายๆ อยู่ ยังไม่รู้สึกตัวอะไรแต่พอเริ่มขึ้น ม.5 ถึงเพิ่งรู้สึกตัวได้ว่า เกรดเราน้อยโอกาสในการยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยก็จะน้อยลง เพราะบางคณะก็มีการกำหนดเกรดขั้นต่ำ ช่วงนั้นต้องใช้ความเพียรและความพยายามล้วนๆ เลยค่ะเพื่อที่จะถีบตัวเองให้ได้ ถ้ารู้ว่าไม่ชอบมานั่งอ่านหนังสือทีหลังก็จะพยายามตั้งใจเรียนในห้องให้เข้าใจ ถามจนคุณครูคงรำคาญ พอช่วงเข้ามหาวิทยาลัยแรกๆ เรียนคณะวิศวกรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องความยากอยู่แล้ว ยังเจอสังคมใหม่ก็เลยหลงใหลเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตไปหน่อย เรียกได้ว่าเกรดมหาวิทยาลัยเทอมแรกแทบจะไม่รอดเลยค่ะ พอเห็นเกรดแค่เทอมแรกก็เริ่มเครียด คิดว่า “เอาล่ะ เปิดมาเทอมเดียวเอาแล้ว” หลังจากนั้นก็บอกตัวเองมาเสมอว่า ผ่านมัธยมมาได้มหาวิทยาลัยก็ต้องผ่านได้แค่ต้องพยายามมากกว่ามัธยมขึ้นไปอีก จนถึงตอนนี้กำลังจะขึ้นชั้นปีที่ 3 ก็ถือว่าการเรียนมาไกลจากเทอมแรกมากเลยค่ะ
